ในสภาวะปัจจุบัน
โลกประสบวิกฤตด้านทรัพยากรธรรมชาติโดยทำลายอย่างมากทำให้โลกขาดความสมดุล
ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและมนุษย์
เช่น ฝนแล้ง น้ำท่วม พายุถล่ม เกิดภัยธรณีพิบัติ เป็นต้น พวกเราต้องหันมาให้ความสนใจและปกป้องธรรมชาติให้มากขึ้นกว่าเดิม
และยิ่งกว่านั่นอุทยานแห่งชาติที่เรามีอยู่ในปัจจุบันโดนบุกรุกทำลายกันมากขึ้นด้วย
ในสมัยโบราณการจัดตั้งอุทยานแห่งชาติในโลกนี้เกิดมาจากความคิดอยู่
2 ประเด็น คือ
ประเด็นแรก
คือ เพื่อพักผ่อนหย่อนใจ โดยใช้สวนสาธารณะหรือพื้นที่ส่วนรวม เมื่อประมาณ 3.000 ปี
ในประเทศอินเดียได้จัดตั้งป่าอิสิปตนมฤคทายวันหรือสวนกวางที่อยู่เมืองพาราณสี
เพื่อใช้เผยแผ่พระพุทธศาสนาและใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ต่อมาในปี พ.ศ. 252
พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงเห็นชอบให้สงวนพันธุ์สัตว์ ปลา และป่าไม้
และที่ประเทศจีนเมื่อหลายร้อยปีก่อนก็มีสวนกวางไว้ขยายพันธุ์และเป็นที่พักผ่อนของประชาชน
ยังมีในกลุ่มประเทศแถบอ่าวเปอร์เซีย สมัยกรีก บาบิโลน สมัยโรมัน
ก็สวนสาธารณะไว้พักผ่อน
ประเด็นที่สอง
เป็นพื้นที่สงวนของผู้ปกครองนครไว้ใช้ในการล่าสัตว์
นันทนาการและใช้เพื่อแสดงฐานอำนาจของผู้ครองนครสมัยกลางยุโรป
ทำให้เกิดแนวคิดของการจัดตั้งอุทยานแห่งชาติขึ้นมา
ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ริเริ่มทำอย่างจริงจังและเป็นระบบ
เมื่อประมาณ 100 กว่าปีมานี้ เนื่องจากในช่วงเวลานั้นได้มีการสำรวจและบุกเบิกดินแดนทางตะวันตกของทวีปอเมริกาเพื่อการตั้งถิ่นฐานและขยายพื้นที่เพาะปลูก
และเพื่อความรู้ในดินแดนที่ยังไม่มีการบุกเบิก
ในการสำรวจครั่งนี้ทำได้พบกับภูมิประเทศที่งดงามหลายแห่ง
แต่ก็ได้ทำให้ป่าถูกบุกรุกและโดนทำลายจากการขยายถิ่นที่อยู่อาศัยและการขยายพื้นที่เพาะปลูก
จนปี
พ.ศ. 2375 นักวาดภาพชื่อ George Catlin ชาวอเมริกาได้เดินทางไป fort Plerre
ปัจจุบันคือมลรัฐ South Dokota เพื่อวาดภาพเกี่ยวกับประเพณีต่างๆ
แต่กลับพบว่าชาวอินเดียแดงได้หายไปจากที่ราบดังกล่าว เพราะถูกบุกรุก
เขาได้เขียนบทความลงวารสารและเสนอแนะให้รัฐบาลให้อนุรักษ์ชาวอินเดียแดงและธรรมชาติ
การดำเนินการสงวนคุ้มครองพื้นที่เพื่อประโยชน์ด้านนันทนาการแก่ประชาชนได้กำเนิดขึ้น
ณ บริเวณพื้นที่น้ำพุร้อน ในมลรัฐ Arkansas ประเทศสหรัฐฯ
เก็บไว้เพื่อประโยชน์ทางด้านสังคม(ได้ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อ พ.ศ. 2464) จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้สหรัฐฯ
เป็นผู้นำการพัฒนาความคิดเกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติ
อุทยานแห่งชาติในประเทศไทย
ตามบันทึกประวัติศาสตร์สมัยสุโขทัยเป็นราชธานีของไทยราว พ.ศ.1782-1981
พระเจ้าแผ่นดินสมัยนั้นได้ปรับปรุงเขตพระราชฐานชั้นนอกให้เป็นอุทยานเรียกว่า “ดงตาล”
เพื่อการพักผ่อนส่วนพระองค์และข้าราชบริพาร และใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา
ทำให้เกิดอุทยานขึ้น แต่อุทยานดงตาลจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นการพักผ่อนหย่อนใจ
ไม่ได้เป็นแบบอนุรักษ์คุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติ
การจัดตั้งอุทยานแห่งชาติในประเทศไทยได้จัดตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อ
พ.ศ. 2486 โดยกรมป่าไม้ได้จัดตั้งป่าภูกระดึง
อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย ได้จัดตั้งเป็นวนอุทยานเป็นแห่งแรก
โดยมีแนวคิดจะจัดตั้งเป็นอุทยานแต่ไม่มีงบประมาณ จนต่อมาในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนครี
ได้ประชุมปรึกษาและลงมติเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 กันยายน
พ.ศ. 2502 ได้แต่งตั้งคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติขึ้น
เพื่อจัดทำโครงการและดำเนินงานเกี่ยวกับการสงวนและคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร
เป็นประธาน คณะกรรมการโดยตำแหน่งมี อธิบดีกรมป่าไม้ กรมที่ดิน ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตร
กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยว
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และสมาคมโรงแรม
และกรรมการผู้ส่งเกียรติได้รับแต่งตั้งมี นายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล นายเล็ก จุณณานนท์ พลตรีเสถียร พจนานนท์ พันเอกหลวงวิจิตร วาทการ
พันเอกทวนชัย สาริกขกานนท์ และนาวาโทประสาท พรหมประวัติ รน.
คณะกรรมการฯ
ได้เลือกให้หัวหน้ากองบำรุงกรมป่าไม้ เป็นเลขาของคณะกรรมการโดยตำแหน่ง
ผลของการประชุมของคณะกรรมการได้ได้กำหนดให้คัดเลือกพื้นที่ป่าเพื่อจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติรวม
14 แห่ง มีดังนี้
ป่าทุ่งแสลงหลวง
จ.พิษณุโลกและ จ.เพชรบูรณ์
ป่าภูกระดึง
จ.เลย
ป่าเขาใหญ่
จ.นครนายก จ.นครราชสีมา จ.สระบุรีและจ.ปราจีนบุรี
ป่าดอยสุเทพ
จ.เชียงใหม่
โดยมี
DR. George Ruhle เจ้าหน้าที่คุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติมลรัฐ Hawail ให้คำแนะนำและวางแนวทางดำเนินการทั้งเรื่องอุทยานแห่งชาติและการคุ้มครองสัตว์ป่า
เมื่อกำหนดพื้นที่แล้ว
กระทรวงเกษตรเสนอเรื่องไปยังคณะรัฐมนตรีเพื่อขอจัดสรรที่ดินในป่าทั้ง 14 แห่ง
กำหนดให้เป็นอุทยานแห่งชาติ แต่ในขณะนั้นยังไม่มีพระราชบัญญัติว่าด้วยอุทยานแห่งชาติสำหรับใช้ในพื้นที่
มีเพียงพระราชบัญญัติคุ้มครองและสงวนป่า
โดยมีป่าภูกระดึงได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นป่าสงวนไว้แล้ว ส่วนอีก 13 แห่ง
กระทรวงเกษตรได้ใช้อำนาจพระราชบัญญัติคุ้มครองและสงวนป่า
แต่ป่าดอยอินทนนท์,ป่าทุ่งแสลงหลวง,ป่าเขาใหญ่และป่าเทือกเขาสลอบ
ถูกบุกรุกแผ้วถางป่าเป็นจำนวนมาก กระทรวงเกษตรจึงขอความร่วมมือไปยังกระทรวงมหาดไทย
ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 9(2)
แห่งประมวลกฎหมายที่ดินออกประกาศหวงห้ามพื้นที่ป่าทั้ง 4 แห่ง เพื่อป้องกันการบุกรุกไว้ก่อน
ในปี
พ.ศ. 2502 กระทรวงเกษตรได้สั่งการให้จังหวัดที่เกี่ยวข้องกับการประกาศอุทยานแห่งชาติทั้ง
13 แห่ง
(ยกเว้นภูกระดึง)
แต่งตั้งกรรมการทำการสำรวจสอบสวนพิจารณาเขตป่าเพื่อกำหนดเป็นป่าสงวน
พร้อมทั้งสั่งให้จังหวัดและดำเนินการตามคำแนะนำของคณะที่ปรึกษากฎหมายของรัฐบาล 2 ประการคือ
ประการแรก
ให้รัฐระงับการออกใบอนุญาตให้ทำไม้ หรือเก็บหาของป่าทุกชนิดในเขตป่าที่๗กำหนดให้เป็นป่าสงวนเสียทั้งสิ้น
ในกรณีที่ได้ออกใบอนุญาตไปก่อนแล้ว เมื่อใบอนุญาตได้สิ้นอายุแล้ว
ห้ามมีการให้ต่อใบอนุญาตไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น
ประการที่สอง
ให้สั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ทำการตรวจคราและรักษาตลอดจนป้องกันปราบปรามผู้ละเมิดกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้แห่งนี้โดยใกล้ชิด
หากว่ามีผู้ฝ่าฝืนให้ดำเนินคดีแก่ผู้ฝ่าฝืนโดยเฉียบขาดและให้นำคดีขึ้นสู่ศาลทุกราย
เมื่อวันที่
22 กันยายน พ.ศ. 2504 ได้มีประกาศพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ
ซึ่งมีผลบังคับใช้ถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา คือ วันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2504
หลังจากนั้นได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้พื้นที่ต่างๆ เป็นอุทยานแห่งชาติ
โดยมีเขาใหญ่เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2505
สหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ธรรมชาติของโลก(The World Conservation Union )-IUCN
ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า “อุทยานแห่งชาติ” ไว้ดังนี้ “พื้นที่ที่ธรรมชาติทางบกและหรือทางทะเล
ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อคุ้มครองรักษาระบบนิเวศน์/ที่ปรากฏในพื้นที่เพื่อประชาชนรุ่นปัจจุบันและอนาคต
เพื่อไม่มีการใช้ประโยชน์หรือเข้าครอบครองที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อระบบนิเวศ
และเพื่อเปิดโอกาสให้มีการประโยชน์ด้านวิจัย
ศึกษาหาความรู้และนันทนาการที่กับสภาพวัฒนธรรมท้องถิ่น”
พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ
พ.ศ. 2504 ระบุว่า อุทยานแห่งชาติหมายถึง “ที่ดินซึ่งรวมความทั้งพื้นที่ดินทั่วไป ภูเขา ห้วย หนอง คลอง
บึง บาง ลำน้ำ ทะเลสาบ เกาะ และที่ชายทะเล
ที่ได้รับการกำหนดให้เป็นอุทยานแห่งชาติ...ลักษณะที่ดินดังกล่าว
เป็นที่ที่มีสภาพธรรมชาติเป็นที่น่าสนใจและมีได้อยู่ในกรรมสิทธิ์หรือครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายของบุคคลใตซึ่งมิใช่ทบวงการเมือง
ทั้งนี้การกำหนดดังกล่าวก็เพื่อให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติ เพื่อสงวนไว้ให้เป็นแหล่งการศึกษาและความรื่นรมย์ของประชาชนสืบไป”
สรุปการจัดตั้งอุทยานแห่งชาติเพื่อวัตถุประสงค์หลัก
3 ประการคือ
1.เพื่อคุ้มครองพื้นที่ธรรมชาติมีทรัพยากรธรรมชาติที่โดดเด่น
และหาได้ยากในพื้นที่นั้น ซึ่งได้แก่ พืช สัตว์
ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ทิวทัศน์ที่สวยงาม สิ่งที่น่าสนใจทางประวัติศาสตร์
ศิลปวัฒนธรรม มิให้เสื่อมสภาพลงไป ฉะนั้น
จะต้องได้รับความคุ้มครอง
จากกฎหมายโดยเฉพาะ และมีเจ้าหน้าที่บริหารงานอย่างเพียงพอ
2.เพื่อให้เป็นสถานที่สำหรับการศึกษาธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อมของนักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไป
เนื่องจากอุทยานแห่งชาตินั่น เปรียบเสมือนห้องเรียนกลางแจ้ง
ซึ่งสามารถศึกษาค้นคว้า วิจัยได้โดยไม่สิ้นสุด
ฉะนั้น อุทยานแห่งชาติจะต้องมีบริการในด้านการศึกษา เช่น การบรรยาย ฉายภาพยนตร์
เอกสารเผยแพร่ ห้องสมุด เป็นต้น
นอกจากนี้จะต้องให้ความร่วมมือกับสถานศึกษาหรือสถาบันต่างๆ
เพื่อศึกษาค้นคว้าวิชาการต่างๆ
3.เพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชน โดยที่อุทยานแห่งชาติทั่วไปมีทิวทัศน์ที่สวยงาม
ซึ่งอาจจะเป็นทิวเขา ทะเลสาบ ทุ่งหญ้า ถ้ำ
หุบเหว หน้าผา เป็นต้น การพักผ่อนในอุทยานแห่งชาติกระทำได้โดยวิธีการต่างๆ
เช่น การตั้งแคมป์พักแรม ดูสัตว์ ถ่ายรูป
เดินป่า ชมทิวทัศน์ เป็นต้น ฉะนั้นอุทยานแห่งชาติจะต้องจัดการให้มีกิจกรรมทางนันทนาการ
จัดให้มีความสะดวกในการคมนาคม สถานที่พักแรม ร้านอาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
สรุปอุทยานแห่งชาติมีค่าที่ประเมินมิได้ หาซื้อที่ใดก็ไม่มีถ้าเราไม่รักษ์ธรรมชาติ หรือ สิ่งแวดล้อมลอบตัวเรา ฉะนั้นเราทุกคนต้องช่วยกันอนุรักษ์สิ่งที่มีค่านี้ไว้เพื่อตัวเรา ลูกหลานเราเอง
สรุปอุทยานแห่งชาติมีค่าที่ประเมินมิได้ หาซื้อที่ใดก็ไม่มีถ้าเราไม่รักษ์ธรรมชาติ หรือ สิ่งแวดล้อมลอบตัวเรา ฉะนั้นเราทุกคนต้องช่วยกันอนุรักษ์สิ่งที่มีค่านี้ไว้เพื่อตัวเรา ลูกหลานเราเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น