ตำนานเรื่องเมืองจันทบูรโบราณที่เรียกว่า
เมืองกาไว มีบันทึกไว้ในสมุดข่อยโบราณตัวหนังสือเป็นตัวหนังสือขอม
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เคยเสด็จมาทรงสำรวจที่ตั้งเมืองจันทบุรีโบราณแห่งนี้
ได้นำเอาหนังสือดังกล่าวไปพร้อมกับศิลาลวดลายโบราณและแผ่นศิลาจารึกไปด้วยหลายชิ้น
สมุดข่อยที่เขียนเรื่องนี้ยังเหลืออยู่ตามบ้านบ้าง แต่เก่ามากแล้ว
เขียนเป็นสำเนียงคำพูดโบราณและเติมอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เพิ่มเข้าไปอีกหลายตอน
ตลอดจนบอกตำราทำเสน่ห์ยาแฝด บอกวิธีปลุกเสกทำหงส์ร่อนมังกรรำไว้ด้วย
ตำนานดังกล่าวเขียนไว้ดังนี้
ในกาลครั้งหนึ่ง
มีกษัตริย์ผู้ครองนครชื่อนครจันทบูร ตั้งอยูที่เชิงเขาสระบาปด้านทิศตะวันตก
ทรงพระนามว่า พระเจ้าพรหมทัต มีเอกอัครมเหสี พระนามว่า พระนางเจ้าจงพิพัฒน์
และมีพระราชโอรสสองพระองค์ พระเชษฐาทรงพระนามว่า เจ้าบริพงษ์ พระอนุชาทรงพระนามว่า
เจ้าวงษ์สุริยมาศ ต่อมาพระเอกอัครมเหสีได้สิ้นพระชนม์ลง
ภายหลังจากนั้นพระเจ้าพรหมทัตได้ทรงอภิเษกพระมเหสีใหม่ นามว่า พระนางกาไว
ทรงพระโฉมศิริพิลาศ เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าพรหมทัต และมีพระโอรสด้วยกันหนึ่งพระองค์ พระนามว่า
พระไวยทัต พระนางกาไวเป็นผู้มีจิตริษยาในพระราชโอรสที่ประสูติจากพระนางเจ้าจงพิพัฒน์
พระนางกาไวเป็นผู้มักใหญ่ไฝ่สูงหวังจะให้พระไวยทัตได้ครองนครและพระนางจะได้มีอำนาจต่อไป
ทรงคิดว่าเมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสด็จสวรรคตแล้วจะวางแผนกำจัดเจ้าชายบริพงษ์และเจ้าชายวงษ์สุริยมาศ
ซึ่งตามกฎมณเฑียรบาลย่อมมีสิทธิ์ขึ้นครองราชย์สมบัติมากกว่าและไม่ผู้ใดกีดขวางแผนการของตน
ความคิดนี้พระนางได้คิดมาตั้งแต่แรกที่ได้ทรงอภิเษกสมรสกับพระเจ้าพรหมทัต
ครั้นพระนางมีราชโอรสก็ทรงดำเนินงานตามแผนที่วางไว้
เพื่อให้พระเจ้าพรหมทัตที่ทรงโปรดปรานพระนางอยู่แล้วได้ลอบการทำเสน่ห์ยาแฝดให้พระสวามีทรงเสวยเพื่อให้หลงรักพระนางเพียงองค์เดียว และเมื่อมีโอกาสคราใดก็พยายามเพ็จทูลให้พระเจ้าพรหมทัตกำจัดเจ้าบริพงษ์และเจ้าวงษ์สุริยมาศเสีย โดยหาเรื่องต่างๆ
ว่าเจ้าชายทั้งสองพระองค์ไม่ดีต่อพระนางอยู่เสมอ
ถึงแม้ว่าพระเจ้าพรหมทัตจะทรงเสน่หาในพระนางกาเพียงไร
ก็ยังทรงมีสติอยู่ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงต่อพระราชโอรสทั้งสอง
และพระองค์เองก็เกรงว่าพระราชโอรสทั้งสองจะถูกลอบปลงพระชนม์
พระองค์จึงชี้แจงแสดงเหตุผลต่อโอรสทั้งสองให้หลบหนีออกไปจากเมือง ทั้งๆ
ที่ทรงอาลัยต่อพระราชโอรส พร้อมทั้งพระราชทานทรัพย์สินเงินทองและพลอยสีต่างๆ ให้อีกองค์ละ 1
ทนาน เพื่อให้ใช้จ่ายระหว่างการเดินทาง ฝ่ายเจ้าบริพงษ์และเจ้าวงษ์สุริยมาศ
แม้ทรงทราบเบื้องหลังอยู่บ้าง แต่ด้วยความเกรงพระทัยในพระราชบิดา
ทั้งสองพระองค์ก็ได้เสด็จออกจากเมืองไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ระหว่างที่เสด็จไปตามทางนั้นทรงได้รับความลำบากตรากตรำมาก จนแทบเอาพระชนม์ชีพไม่รอด
เสด็จดำเนินไปจนเข้าเขตเมืองพระนคร ทรงเข้าไปประทับอยู่ในสวนของเจ้าเมืองพระนคร
หลังจากนั้นก็ได้อภิเษกสมรสกับพระราชธิดาของเจ้าเมืองพระนคร
เมื่อพระนางกาไวดำเนินแผนการลุล่วงไปขั้นหนึ่งแล้ว
ก็พยายามรวบรวมอำนาจต่างๆ ไว้ในมือพระนางและเกรงว่าจะชักช้า จึงจัดการวางยาพิษ “มหาไว”
ปลงพระชนม์พระเจ้าพรหมทัต ครั้นเมื่อพระเจ้าพรหมทัตสวรรคตแล้ว
พระนางกาไวก็แต่งตั้งตนเป็นผู้สำเร็จราชการแทนและได้สถาปนาพระไวยทัตขึ้นเป็นกษัตริย์
แต่พระราชโอรสยังทรงพระเยาว์อยู่
อำนาจทั้งหมดจึงตกอยู่ในมือพระนาง
เมื่อมีอำนาจแล้วพระนางก็ทรงทำนุบำรุงไพร่พลให้เข้มแข็งเตรียมไว้รับศึกจากเจ้าชายบริพงษ์และเจ้าชายวงศ์สุริยมาศ
ฝ่ายเจ้าบริพงษ์และเจ้าวงศ์สุริยมาศที่ทรงอยู่ที่เมืองพระนคร
ทรงทราบเรื่องบิดาสวรรคตโดยพระนางกาไวเป็นผู้วางยาพิษและได้ขึ้นครองเมืองก็ไม่พอพระทัย
รีบกรีฑาทัพมาเพื่อชิงเมืองคืน เพราะถือว่าพระองค์มีสิทธิ์ในราชสมบัติ กองทัพที่ยกมาคงมีกำลังน้อย
ทั้งการขาดการเตรียมพร้อม เมื่อยกทัพมาอย่างรีบด่วนไพร่พลเหน็ดเหนื่อยอิดโรย และเมื่อยกมาถึงแล้วก็ส่งกองพัพเข้าตีเมืองทันที
ทางฝ่ายในเมืองเตรียมพร้อมอยู่แล้ว จึงมีชัยชนะกองทัพเจ้าบริพงษ์และเจ้าวงษ์สุริยมาศทุกครั้ง
ผลที่สุดทั้งกองทัพช้าง กองทัพม้า และกองทัพคนของราชโอรสก็ต้องแตกถอย หนีกลับเมืองพระนครอย่างระส่ำระสาย
เมื่อแพ้ทัพกลับไปถึงเมืองพระนครแล้ว
ก็ทะนุบำรุงให้เข้มแข็งและได้ขอกำลังไปยังกษัตริย์ขอม ซึ่งประทับอยู่ที่เมืองนครธมอันเป็นเมืองหลวงมาช่วยแก้แค้นโดยให้สัญญาว่าถ้าได้เมืองคืนแล้ว
จะแบ่งเมืองให้ ซึ่งกษัตริย์ขอมก็ได้ส่งกำลังมาช่วย
กองทัพยกมาใหม่ครั้งนี้เดินทัพมาด้วยความระมัดระวัง ไม่ประมาทเหมือนคราวที่แล้ว
และกองทัพที่ยกมาเป็นกองทัพใหญ่ มีทหารไพร่พล ช้างม้า เป็นจำนวนมาก
ยกทัพผ่านเมืองใหญ่ต่างๆ เช่น บ้านกัมเรียง(พุมเวียง) บ้านบึงชะนัง บ้านแปลง บ้านใหม่
เป็นต้น
เมื่อยกกองทัพมาถึงบ้านทัพปัดตีแล้วข้ามริมคลองโป่งน้ำร้อนฝั่งบ้านกัมพุชให้หยุดกองทัพก่อน
ฝ่ายพระชายาของเจ้าบริพงษ์และเจ้าวงษ์สุริยมาศ
ซึ่งทรงมีครรภ์อยู่ได้ยกทัพหนุนตามหลังมาช่วยพระสวามี เมื่อมาทันกันที่
โป่งน้ำร้อน พระชายาทั้งสองพระองค์ได้ประสูติพระโอรสพร้อมกันทั้งสองพระองค์
จึงต้องหยุดพักกองทัพอยู่หลายวัน
เมื่อพระชายาและพระโอรสทั้งสองพระองค์แข็งแรงดีแล้ว
จึงยกกองทัพต่อไปบ้านหนองตาคง
บ้านคลองขวาง แล้วมาหยุดพักที่บ้านทับไทร
ออกจากบ้านทับไทรมาหยุดกองทัพที่บ้านทัพนคร(อ.มะขาม)
ออกจากบ้านทัพนครก็ผ่านบ้านต่างๆ ของ อำเภอมะขาม ผ่านบ้านทุ่งด่าน บ้านทุ่งหลวง
บ้านแสนตอ บ้านน้ำรักและบ้านทรงสนาน(เหล่าพระวงศ์ที่ร่วมยกกองทัพมา
พากันลงอาบน้ำที่แม่น้ำจันทบุรี)
ให้พนักงานตั้งด่านเก็บส่วยที่บ้านเกาะส่วย (ตำบลท่าหลวงเก่า)
แล้วยกทัพมาบ้านพลับพลาให้ตั้งมั่นอยู่บริเวณหนองทัพมั่น(อยู่ทางทิศเหนือของโรงเรียนวัดพลับพลาประมาณ
1 กิโลเมตร)
ให้ไพร่พลขุดสระเพื่อใช้น้ำในกองทัพทั่วทั้งตำบลพลับพลาที่กองแยกย้ายไปตั้งอยู่
และได้ตั้งพลับพลาขึ้นที่บริเวณหนองพลับพลา(อยู่ทางทิศตะวันออกของวัดพลับพลา
ครั้นแล้วเจ้าชายทั้งสองพระองค์ก็จัดกองทัพเข้าตีเมืองกาไว
เป็นรูปปีกกาเรียงลำดับทหารไพร่พล ทัพช้าง ทัพม้า ตามแผนยุทธศาสตร์สมัยนั้น
พี่ชาย(เจ้าบริพงษ์)
ได้ยกกองทัพเข้าตีทางปีกซ้ายด้านทิศตะวันออกโอบเข้าไปสกัดและโจมตีทางทิศใต้ของเมือง
แล้วตั้งมั่นอยู่บริเวณนั้นพร้อมทั้งสั่งไพร่พลให้ขุดสระน้ำเพื่อใช้สอยในกองทัพ
สระแห่งนี้ได้ชื่อว่า หนองพี่ชาย(ปัจจุบันนี้เรียกว่าหนองขี้ควาย) เพราะฝูงควายผ่านและอาศัยน้ำในหนองน้ำ
หนองน้ำนี้อยู่ทางทิศใต้ของเมืองเพนียดหรือเมืองกาไว ส่วนน้องชาย(เจ้าวงษ์สุริยมาศ)ยกกองทัพเข้าตีทางด้านปีกขวา
เดินทัพทางทิศเหนือแล้วตีโอบล้อมไปทางทิศตะวันตกของเมือง
ปลายปีกทัพและทัพหนุนมาจรดกันริมฝั่งแม่น้ำจันทบุรี เพื่อตีล้อมหนุนเข้าไปที่บ้านลาว
(ปัจจุบันนี้มีชื่อเรียกว่า บ้านลาว อยู่ในหมู่ที่ 13 ของตำบลพลับพลา) กองทัพขอมได้ตั้งมั่นที่บ้านขอม
(อยู่ถัดไปจากบ้านขอมลงไป อยู่หมู่ที่ 1 ของตำบลจันทนิมิต
ริมแม่น้ำจันทบุรี)
ข้างฝ่ายในเมืองคงจะประมาท
เพราะเคยชนะมาคราวหนึ่งแล้ว ถึงแม้ว่าฝ่ายเจ้าบริพงษ์และเจ้าวงษ์สุริยมาศ
จะส่งทูตมาเจรจาขอตกลงโดยดีก็หาได้ตกลงด้วยไม่ ราชโอรสทั้งสองจึงยกกองทัพเข้าโจมตี
ฝ่ายพระนางกาไวได้เตรียมกองทัพไว้สู้รบและป้องกันเมืองไว้ทุกด้าน ทหารเริ่มรบปะทะกันที่ห้วงทำการ (ปัจจุบันนี้เรียกว่า
ห้วงธรรมการ อยู่ระหว่างตำบลพลับพลาและตำบลคลองนารายณ์ทางทิศเหนือของเมือง)
แล้วกองทัพทั้งสองฝ่ายก็ทำการสู้รบกันทุกด้าน
ทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันตกของเมืองรบกันรุนแรงที่สุด
ทางด้านทิศตะวันตกช้างทรงของเจ้าวงษ์สุริยมาศพบกับช้างทรงของเจ้าไวยทัต ทั้งสองขับช้างเข้าชนกันด้วยความสามารถ
ช้างของเจ้าไวยทัตเสียท่า เจ้าวงษ์สุริยมาศได้ทีก็ฟันด้วยของ้าว (หอกด้ามยาว) ถูกเจ้าไวยทัตสิ้นพระชนม์บนหลังช้าง
ช้างวิ่งหนีกลับเข้าไปในเมือง
ทหารไพร่พลก็รบกันอย่างตะลุมบอน
ทหารของเจ้าไวยทัตก็แตกพ่ายถอยหนีเข้าไปในเมือง บริเวณที่ช้างของเจ้าวงษ์สุริยมาศกับช้างของเจ้าไวยทัตชนกันจนทัพแตก
เรียกว่า เกาะทัพแตก (ปัจจุบันนี้เรียกว่า
เกาะตะแบก อยู่ทางทิศตะวันตกของวัดทองทั่ว)
เมื่อพระนางกาไวทราบว่าเจ้าไวยทัตสิ้นพระชนม์ในสนามรบ
ทหารก็แตกหนีถอยร่นเข้าเมือง จึงคิดจะตัดกำลังข้าศึกไม่ให้ทหารฝ่ายตรงข้ามตีเข้าไปในเมืองและคิดจะหนีออกจากเมือง
พระนางกาไวจึงสั่งการให้ทหารเอาทรัพย์สิน
แก้ว แหวน เงิน ทอง
หว่านให้ทหารของเจ้าวงษ์สุริยมาศตามแนวรบซึ่งล้อมไปด้วยกอไผ่
และให้ทหารประกาศว่าในเมืองไม่มีอะไรเหลือแล้ว เพราะได้นำมาออกมาหว่านจนหมดแล้ว ทหารของเจ้าบริพงษ์และเจ้าวงษ์สุริยมาศก็ต่างพากันเก็บแก้ว
แหวน เงิน ทอง จนลืมการสู้รบ
(ปัจจุบันบริเวณที่หว่านแก้ว แหวน เงิน ทอง เรียกว่า วัดทองทั่ว
มีทุ่งล้อมรอบ) ฝ่ายพระนางกาไวได้รวบรวมทรัพย์สินที่มีค่าเตรียมหนีออกไปทางทิศใต้ของเมือง
แต่ได้พบกับกองทัพของเจ้าบริพงษ์ขับทหารล้อมเข้ามา
พระนางกาไวหนีออกไปไม่ได้จึงกลับเข้าไปในเมืองและเอาทรัพย์สินมีค่าทิ้งลงในเว็จ (เว็จ
แปลว่ว ส้วม แต่ก่อนมีคนพยายามขุดหาทองคำจะได้หรือไม่ ไม่มีใครทราบ
แต่เล่ากันว่าพอขุดลงไปในดินใกล้ถึงทองก็มีเสียงดังลั่นบันดาลให้ทองคำหนึหายลึกลงไป)
พระนางกาไวได้นำเอาทองรูปพรรณต่างๆ
ทิ้งลงไปให้มากที่สุด
แล้วในที่สุดพระนางกาไวก็หนีเข้าห้องบรรทมแล้วดื่มยาพิษที่ชื่อว่า "มหาไว" สิ้นพระชนม์อยู่ในห้องบรรทม
เจ้าบริพงษ์และเจ้าวงษ์สุริยมาศ
เมื่อได้รับชัยชนะยืดเมืองกาไวได้แล้ว ก็พักกองทัพอยู่ในเมือง จัดการเกี่ยวกับราชทรัพย์ที่รวบรวมได้เสร็จแล้วก็บูรณะเมือง
ปลอบขวัญไพร่พล เมื่อจัดการฝ่ายในเมืองเรียบร้อยแล้ว
ทรงยาตราทัพไปที่สระตักบาตร(ปัจจุบันเรียก สระกะบาก)
เพื่อทำบุญตักบาตรเพื่อฉลองชัยชนะ
(สระนี้ขุดในสมัยเจ้าบริพงษ์และเจ้าวงษ์สุริยมาศยกทัพมารบ เพื่อใช้น้ำ
ปัจจุบันนี้อยู่บริเวณบ้านดาวเรือง ตำบลพลับพลา หมู่ที่ 10) ส่วนประชาชน ไพร่พลใครจะสมัครใจอยู่ที่เดิมก็ทรงอนุญาตให้อยู่กันต่อไป
แต่ถ้าใตรอยากไปกับพระองค์ก็ให้ไปด้วยได้
เมื่อฉลองชัยชนะที่สระตักบาตรเสร็จแล้วทรงมาสร้างวัดพลับพลาเพื่ออุทิศให้กับไพร่พลที่เสียชีวิตในสนามรบ เมื่อวัดพลับพลาเสร็จเรียบแล้วทรงให้ชื่อว่า
วัดพลับพลาชัยคีรี ที่หน้าอุโบสถให้วาดรูปเจ้าวงษ์สุริยมาศทรงช้างรบชนะเจ้าไวยทัตไว้เป็นที่ระลึก
หลังจากนั้นก็เสด็จยาตราทัพไปสร้างเมืองขึ้นใหม่ที่บริเวณเขาสามสิบ แล้วให้ชื่อว่า
เมืองสามสิบ ปัจจุบันนี้เป็นเมืองร้างอยู่ในอำเภอโป่งน้ำร้อน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น