เมืองจันทบุรีใช่จะมีแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นน้ำตก
ทะเล ศูนย์การค้าอัญมณี ชมหิ่งห้อย ดำน้ำ
อื่นๆ อีกมากมาย แต่เมืองจันท์ยังมีแหล่งท่องเที่ยวคือเมืองโบราณด้วย
เมืองจันทบุรีเป็นชุมชนโบราณเก่าแก่ที่มีอายุมากกว่า
1,000 ปี
ยังมีร่องรอยโบราณของชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ที่มีอายุไม่น้อยกว่า 6.000 –
4.000 ปี หลักฐานที่ปรากฏทั้งด้านมานุษยวิทยา ศิลปะ
และประวัติศาสตร์
แสดงให้เห็นถึงการตั้งถิ่นฐาน การเติบโตอย่างกว้างขวางในท้องถิ่น การติดต่อค้าขายกับต่างถิ่น การรับและถ่ายทอด
การผสมผสานของวัฒนธรรม ซึ่งมีพัฒนาการยาวนานติดต่อมาจนถึงปัจจุบัน
การศึกษาทางด้านโบราณคดีของจันทบุรี
แยกออกได้เป็น 2 ยุด คือ
1.โบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ คือ
ช่วงเวลาก่อนที่จะมีการบันทึกประวัติศาสตร์เป็นลายลักษณ์อักษร
ค้นพบโดยการสำรวจและขุดพบแหล่งโบราณคดีในพื้นที่ จ.จันทบุรี
ซึ่งค้นพบเครี่องมือเครื่องใช้ของคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์อายุประมาณ 10,000-6.000 ปี มาแล้ว ต่อเนื่องถึงหินใหม่ตอนปลายมีอายุประมาณ 4.000 –
2.000 ปี มาแล้ว
รวมถึงยุคโลหะที่คนรู้จักการทำสำริดและเหล็ก
คือประมาณ 1.500 ปี มาแล้ว เข้าสู่พุทธศตวรรษที่
12 ได้พบจารึกเพนียด (หลักที่ 52) ถือว่าสมัยก่อนประวัติศาสตร์จันทบุรีได้สิ้นสุดลง
และเริ่มเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์
2.โบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์
เป็นช่วงเวลาที่มีประวัติศาสตร์เป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว หลักฐานต่างๆ
เหล่านั้นตามหลักฐานประวัติศาสตร์ ได้แก่ จารึก ตำนาน พงศวดาร ปูมโหร
ปูมแพทย์ บันทึกการเดินทาง
จดหมายเหตุ
ซึ่งได้พบหลักฐานขุมชนสมัยประวัติศาสตร์ในจันทบุรีเป็นเมืองโบราณเก่าแก่
ซึ่งจะน่ามีอายุถึงปลายสมัยฟูนัน
ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 เป็นชุมชนที่ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรม
ศิลปะ ศาสนาจากขอมโบราณ
ซึ่งปรากฏหลักฐานในหนังสือฝรั่งเศส ชื่อ
“แคมโบช”
เขียนโดยมองสิเออร์ เอเตียนน์ เอโมนิเออร์ ปี พ.ศ. 2444
ว่ามีบาทหลวงองค์หนึ่งพบศิลาจารึกภาษาสันสฤต ที่ ต.เขาสระบาป
ในศิลาจารึกมีข้อความว่า “เมื่อพันปีล่วงมาแล้วมีเมืองๆ
หนึ่งชื่อว่า ควานบุรี เป็นเมืองที่มีอาณาเขตกว้างขวางตั้งอยู่บริเวณบ้านเพนียด
บ้านสระบาป ต.คลองนารายณ์ อ.เมือง ผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้างประมาณ 1 กม. ยาวประมาณ 2 กม.
คนที่สร้างเมืองควานบุรีชื่อหาง หรือ แหง คนพื้นเมืองพวกชอง
บริเวณที่พบแหล่งโบราณสถานมี
4 แห่ง คือ
1.เนินโบราณสถานที่วัดเพนียด (ร้าง)
2.โบราณสถานเพนียด
3.เนินโบราณสถานใกล้วัดทองทั่ว
4.เนินโบราณสถานวัดสมภาร(ร้าง)
ในเนินโบราณสถานที่เก่าแก่ที่สุดพบหลักฐานที่พบ
คือ จารึก ทับหลัง เสาประดับ กรอบประตู เคยเป็นที่ตั้งวัดเพนียด
ปัจจุบันเหลือเพียงเนินขนาดใหญ่ฐานล่างก่อด้วยอิฐ ลึกจากพื้นดินลงไปประมาณ 4 เมตร
เนินดินเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า และยังพบร่องรอยของแนวศิลาแลงยาวประมาณ 15 เมตร
พบหลักฐานของสถาปัตยกรรม ได้แก่
-ทับหลังแบบถาลาบริวัตร
และทับหลังแบบสมโบร์ไพรกุก ราวพุทธศตวรรษที่ 12
-ทับหลังแบบไพรรุกเมง
ราวพุทธศตวรรษที่ 13
-เสาประดับกรอบประตูในศิลปะขอม
สมัยก่อนเมืองพระนคร จารึก 2 หลัก กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่
15
-ภาชนะดินเผาเป็นกระปุกทรงลูกจันรูปแบบอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่
15-16
-ไหเท้าช้าง
เป็นที่นิยมในพุทธศตวรรษที่ 17-18 เป็นต้นมา
-พบประติมากรรมขนาดเล็กในอิทธิพลของศิลปะขอมแบบนครวัด
ราว พ.ศ. 1650-1725 ประติมากรรมที่พบมีทั้งจากศิลาและทำด้วยสำริด
-เนินโบราณสถานบริเวณใกล้วัดทองทั่ว
ในพื้นที่นี้ใช้ศิลาแลงเป็นวัสดุหลักในการก่อสร้าง
ในบริเวณนี้ยังพบเศียรประติมากรรมรูปเคารพขนาดเล็กสลักจากศิลาทรายสีแดง
เป็นศิลปะร่วมในศิลปะขอมแบบบายน ราวพุทธศตวรรษที่ 18
หลักฐานที่หลงเหลือชัดเจน
คือ โบราณสถานเพนียด ซึ่งใช้ศิลาแลงเป็นวัสดุในการก่อสร้างทั้งหมด
และเป็นรูปแบบการก่อสร้างที่มีศิลปะขอมแบบบายน พุทธศตวรรษที่ 18 โบราณสถานเพนียดเดิมมี 2
แห่งสร้างคู่กันในแนวเหนือใต้
ปัจจุบันเหลือแห่งเดียว
ชุมชนเก่านี้เป็นชุมชนที่มีรูปแบบสังคมเกษตรกรรมได้รับอิทธิพลทางด้านศิลปะและสถาปัตยกรรมร่วมสมัยกับขอม
มีคติความเชื่อทางศาสนาทั้งศาสนาพราหมณ์ พุทธ และการนับถือผีของชนพื้นเมือง
เรียกว่า ชาวชอง
หลังสิ้นสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่
7 (พ.ศ.1724-1763)
วัฒนธรรมขอมได้เสื่อมสลายลง
ก็มีการย้ายถิ่นฐานจากโบราณเสถานเพนียดมาตั้งอยู่บริเวณบ้านหัววัง
ต.พุงทะลาย(ปัจจุบัน ต.จันทนิมิต) ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจันทบุรี
และได้ขยายตัวกระจายไปตามลุ่มแม่น้ำจันทบุรี จนถึงปากอ่าว
ในระยะนี้มีการกวาดต้อนคนในสมัยสงครามอยุธยา
ทำให้มีหลายเชื้อชาติเข้ามาอยู่เพิ่มขึ้น เช่น ลาว เขมร โดยมีคนไทยเป็นผู้ปกครอง
ในชุมชนพุงทะลายนี้ได้ค้นพบหลักฐานที่เป็นชุมชนเก่าแก่มีศิลปกรรมร่วมสมัยอยุธยาตอนต้นและมีการค้นพบในเสมาหลายชิ้น
และต่อมาก็มีการย้ายตัวเมืองจันทบุรีจากพุงทะลายมายังบ้านลุ่ม
เพราะมีชัยภูมิที่เหมาะสมกว่า บ้านพุงทะลายเป็นที่ราบ ค่อนข้างลุ่ม
มีน้ำท่วมขังเมืองมีความคับแคบ ส่วนบ้านลุ่มเป็นที่ราบลาดสูงชัน
เหมาะเป็นที่อยู่อาศัยและป้องกันเมือง
การสร้างเมืองใหม่นี้ มีคูและเชิงเทินรอบเมือง เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
กว้างยาวประมาณด้านละ 60 เมตร ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช(พ.ศ. 2199 – 2231) เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์
ในการส่งข่าวเหตุการณ์ในเขมรและญวน ให้ทางราชสำนักทราบ และเป็นเมืองหน้าด่าน
ที่คอยป้องกันการรุกรานของเขมรและญวน
ดังนั้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชจึงทรงให้สร้างกำแพงเมือง ป้อมคูเมือง
หอรบตามแบบตะวันตก ปัจจุบันยังมีหลักฐานหลงเหลืออยู่บริเวณค่ายตากสิน
ต่อมาในสมัยรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่
3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ประเทศไทยเกิดข้อพิพาทกับญวน
เนื่องจากเจ้าอนุวงศ์ผู้ปกครองเมืองเวียงจันทร์เอาใจออกห่างจากไทยไปสวามิภักดิ์กับญวน
ในการทำสงครามในครั้งนั้นใช้กองทัพเรือและกองทัพบก
เมืองจันทบุรีเป็นเมืองชายฝั่งทะเลทางทิศตะวันออกอยู่ใกล้กับญวน
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
เกรงว่าญวนจะมายึดเอาเมืองจันทบุรีเป็นที่มั่น เพื่อทำการต่อสู้กับไทย
ซึ่งเมืองจันทบุรีในสมัยนั้นตั้งอยู่ในที่ลุ่มไม่เหมาะสมที่จะใช้เป็นฐานทัพต่อสู้กับญวน
ฉะนั้นจึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาพระคลัง(ดิส บุนนาค)
เป็นแม่กองมาสร้างป้อมค่ายและเมืองขึ้นใหม่ที่บ้านเนินวง ต.บางกะจะ
ซึ่งเมืองใหม่นี้ตั้งอยู่ห่างจากเมืองเดิม ไปทิศตะวันตก 8 กม. เป็นชัยภูมิที่ดี
ลักษณะของเมืองที่สร้างมีกำแพงสร้างด้วยศิลา ป้อมคู ประตู 4 ทิศ เป็นรูปสี่เหลี่ยม กว้างประมาณ 14 เส้น ยาว 15 เส้น
มีปืนใหญ่ตั้งเรียงรายอยู่ ตามช่องใบเสมา สร้างเมื่อ พ.ศ. 2377
ภายในเมืองได้สร้างศาลเจ้าพ่อหลักเมืองดังปรากฏอยู่ในวัดโยธานิมิต ว่า
ได้ฝังอาถรรพ์หลักเมืองที่บ้านเนินวง ณ วันเสาร์ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 4 ปีมะแม จุลศักราช 1197 คลังเก็บอาวุธกระสุนปืนใหญ่และคลังดินปืน
กับทั้งสร้างวัดชื่อ “วัดโยธานิมิต”
ขึ้นภายในเมืองใหม่นี้ด้วย และจมื่นราชามาตร์
ต่อมาเป็นเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ได้ให้พระยาอภัยพิพิธ(ต่อมาเป็นเจ้าเมืองตราด)
เป็นแม่กองสร้างป้อมที่ด่านปากแม่น้ำแหลมสิงห์
ซึ่งต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานนามภายหลังว่า ป้อมพิฆาตปัจจามิตร
และบนยอดเขาแหลมสิงห์ ชื่อ ป้อมไพรีพินาศ
พอสร้างเมืองใหม่เสร็จ
รัฐบาลไทยในสมัยนั้นได้สั่งย้ายเมืองจันทบุรีจากที่บ้านลุ่มไปอยู่ที่เมืองใหม่ และให้ประชาชนอพยพไปอยู่ที่เมืองใหม่ด้วย
แต่เนื่องด้วยเมืองใหม่ ตั้งอยู่บนที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 30 เมตร และตั้งอยู่ห่างจากคลองน้ำใส
ซึ่งเป็นคลองน้ำจืดประมาณ 1 กม. ประชาชนมีความไม่สะดวกในเรื่องน้ำใช้
ประชาชนส่วนมากจึงยังคงอยู่ที่เมืองเก่า พวกที่อพยพ พวกที่อพยพกันมีแต่พวกข้าราชการ
ปัจจุบันยังมีบุตรหลานของข้าราชการสมัยนั้นตั้งเคหะสถานอยู่ที่บ้านทำเนียบ
ต่อมาญวนตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสสงคราระหว่างไทยกับญวนก็สงบลง
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้ราษฎรเลือกอยู่ได้ตามความสมัครใจ
ยกเว้นจวนเจ้าเมืองยังคงอยู่บ้านเนินวงจนกระทั่ง รัชกาลที่ 5
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายตัวเมืองกลับไปอยู่ที่บ้านลุ่มตามเดิม
จากยุคประวัติศาสตร์เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน การตั้งเมืองจันทบุรีมีการตั้งถิ่นฐาน ดังนี้
1.บริเวณบ้านเพนียด วัดทองทั่ว
ตำบลคลองนารายณ์ อ.เมือง (ขอมเรืองอำนาจ)
2.บริเวณบ้านพุงทะลาย ต.จันทนิมิต อ.เมือง
(สมัยก่อนอยุธยา)
3.บริเวณบ้านลุ่ม ต.ท่าช้าง อ.เมือง
(สมัยอยุธยาตอนต้น)
4.บริเวณบ้านลุ่ม ต.ท่าช้าง อ.เมือง
(รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)
5.บริเวณตัวเมืองจันทบุรีในปัจจุบัน
(รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น